ต้น

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โดดไปเรื่องของ"ป๋า"

หลังจากข่าวสุดช็อกวงการฟุตบอลได้เกิดขึ้น เมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน


        กุนซือทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจโบกมืออำลาจากการเป็นผู้จัดการทีมที่อยู่บนบังลังก์มานานถึง 27 ปี ทำให้แฟนๆ อดใจหายและอดคิดถึงไม่ได้ว่านับจากนี้ไปเกมลูกหนังยามที่ขาดชายแก่ที่ชื่อ ''เฟอร์กี้'' นั้นจะเป็นอย่างไร

        ที่ผ่านมาแฟนบอลมักคุ้นชินกับการได้เห็นบรมกุนซือรายนี้กุม บังเหียน ''ปีศาจแดง'' คุมทัพที่ข้างสนามทุกเกมที่ทีมลงแข่ง ทว่าฤดูกาลใหม่ 2013-2014 ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่แปลกตาไม่น้อย ผู้จัดการทีมคนใหม่ของแมนฯ ยูไนเต็ด จะเปลี่ยนมาเป็น เดวิด มอยส์ ผู้ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นั่งยันและนอนยันว่าเขาคนนี้แหละคือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในการสานต่อรากฐาน ความสำเร็จในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

        แน่นอนว่าเวลาเท่านั้นที่จะตอบคำถามทั้งหมดว่ามอยส์คือตัวเลือก ที่ใช่จริงหรือไม่ ทว่าหลังจากจบฤดูกาลนี้ยามที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ลงจากบัลลังก์อย่างเป็นทางการคงมีแฟนบอลจำนวนมากที่จะต้องคิดถึงบุคลิกและ ความเป็นตัวตนของยอดกุนซือผู้ยิ่งใหญ่รายนี้ซึ่งเราขอรวบรวม 10 อย่างที่ท่านจะต้องคิดถึงป๋ามาให้รับทราบกันว่ามีสิ่งใดกันบ้าง และมันจะทำให้อรรถรสในเกมลูกหนังขาดสีสันไปเพียงใดไปดูกันเลย

        1. เฟอร์กี้ ไทม์
         เมื่อเกมการแข่งขันดำเนินเข้าสู่ช่วงทด เวลาบาดเจ็บบ่อยครั้งที่เราจะเห็น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จับจ้องมองนาฬิกาที่ข้อมือเป็นระยะๆ ยิ่งในยามที่ทีม ''ปีศาจแดง'' ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันหรือต้องการชัยชนะ หากมีการทำฟาวล์เกิดขึ้นหรือผู้ตัดสินเป่าหยุดเกม ยอดบรมกุนซือมักจะคอยเตือนผู้ช่วยตัดสินข้างสนามให้ทดเวลาเพิ่มเข้าไปเสมอ แต่ถ้าในทางกลับกัน แมนฯ ยูไนเต็ด มีสถานการณ์ที่ได้เปรียบท่านเซอร์ก็จะคอยเตือนท่านเปาให้เป่าหมดเวลาได้แล้ว ซึ่งถือเป็นการกดดันผู้ตัดสินที่จัดว่ามีอิทธิพลอย่างมากก็ว่าได้
         มัน เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะอิทธิพลของเฟอร์กี้ที่ชอบ ไปยืนกดดันที่ข้างสนาม ซึ่งเหตุการณ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดเช่นในเกมนัดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลี กสมัยแรกในยุคของเขาในปี 1993 เกมนั้น สตีฟ บรูซ ปราการหลังตัวแกร่งทำสองประตูช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ด แซงเอาชนะเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์  2-1 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ รวมถึงเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่แซงเอาชนะบาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรก






        2. เอกลักษณ์เฉพาะตัว
 หากจะกล่าวไว้ว่า เฟอร์กูสัน ก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด และ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็คือ เฟอร์กูสัน ลองนึกภาพตามว่าเกมลูกหนังจะสิ้นมนต์ขลังไปขนาดไหนเมื่อมองไปที่ซุ้มม้านั่ง สำรองของแมนฯ ยูไนเต็ด แล้วไม่ได้เห็นชายแก่วัย 71 ปี สวมเสื้อโคตสีดำตัวใหญ่นั่งเคี้ยวหมากฝรั่งที่ข้างสนาม
 ขณะเดียวกัน ยามที่คุมลูกทีมลงฝึกซ้อมบ่อยครั้งที่เรามักจะเห็น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สวมหมวกไหมพรมสีแดงซึ่งมีธงชาติเวลส์ติดอยู่หลังจากไปฉกมาจาก ไรอัน กิ๊กส์ ตั้งแต่ปี 1996 และดูทีท่าว่าปีกจอมเก๋าไม่น่าจะได้คืนอีกแล้วด้วย





        3. วลีเด็ดบาดใจสำเนียงสกอตต์
ด้วยความที่เป็นคนสกอตแลนด์ ยามที่จะพูดหรือให้สัมภาษณ์อะไรนั้นสำเนียงของเขาทำให้นักข่าวและแฟนบอลทั้ง หลายต้องตั้งใจฟังสุดฤทธิ์ว่าป๋าพูดอะไร ทว่าด้วยสำเนียงที่ฟังยากอันเป็นเอกลักษณ์นั้นมักจะแฝงไปด้วยวาทะเด็ดที่ เสียดแทงใจได้เสมอ
ในปี 1986 ช่วงที่เฟอร์กี้ย้ายมาคุมทัพแมนฯ ยูไนเต็ด เขาประกาศเสียงดังฟังชัดว่า ''ผมอยากจะเขี่ยลิเวอร์พูลออกจากบัลลังก์ลีกผู้ดีให้ได้'' ซึ่งช่วงนั้นมีแต่คนคิดว่าป๋าไม่บ้าก็คงเพี้ยนไปแล้ว แต่ในที่สุดสิ่งที่ท่านเซอร์ได้เสกให้ ''ปีศาจแดง'' เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็คือความยิ่งใหญ่จนกลายเป็นยอดทีมเบอร์หนึ่งของวงการลูก หนังผู้ดีไปแล้วในเวลานี้

 
    4. ไดร์เป่าผมอันเลื่องชื่อ
สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดของกุนซือ เลือดสกอตต์รายนี้ก็คือ แฮร์ ดรายเออร์ หรือไดร์เป่าผม ที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตามที่ป๋าไม่สบอารมณ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกทีม, ผู้ตัดสิน กุนซือฝั่งตรงข้าม หรือแม้กระทั่งนักข่าว ซึ่งต่างก็รับรู้ถึงกิตติศัพท์นี้เป็นอย่างดี
วันไหนที่พลพรรคแข้ง ''เร้ด เดวิลส์'' ทำผลงานไม่ได้ดั่งใจทุกคนต่างรู้สึกหวั่นผวาเมื่อเขาต้องกลับเข้าห้องแต่ง ตัวราวกับต้องไปเผชิญกับบ้านร้างในรายการล่าท้าผี ยกตัวอย่างเช่น ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่ชอบฟังเพลงในห้องแต่งตัวก็เคยถูกเฟอร์กี้กระชากหูฟังมาแล้วโทษฐานที่ไม่ ฟังป๋าบ่น ''ผมเป็นผู้จัดการทีมให้กับสโมสรที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ผมเป็นคนเปิดเผยตัวและอารมณ์ร่วมกับเกม แต่ทุกคนรู้ดีว่าผมไม่ใช่คนรุนแรงอะไร''





        5. พวกแตกแถวต้องโดน
นับตั้งแต่อยู่บนบัลลังก์ ''ปีศาจแดง'' มากว่า 27 ปี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องเผชิญหน้ากับกุนซือทีมต่างมาหลายร้อยราย บางคนญาติดีมาป๋าก็ดีตอบ หรือบางคนไม่มองหน้ากันสาดน้ำลายใส่กันก็มีมากมาย เช่น อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซืออาร์เซน่อล รวมถึง ราฟาเอล เบนิเตซ อดีตกุนซือทีมคู่อริตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูล
ขณะเดียวกัน พวกนักเตะที่ชอบทำตัวแตกแถวนอกลู่นอกทางไม่อยู่ในโอวาท เฟอร์กี้ก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเมื่อครั้งที่เขาจัดการระเบิดอารมณ์ในห้องแต่งตัวหวดสตั๊ดลอยไป โดนหน้า เดวิด เบ็คแฮม ซูเปอร์สตาร์ของทีมจนคิ้วซ้ายแตก แม้ว่าป๋าจะออกโรงชี้แจงว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่พอจบฤดูกาลเบ็คแฮมก็ต้องย้ายออกจากทีมไปร่วมทัพเรอัล มาดริด

        หรือแม้แต่กรณีของ ยาป สตัม ปราการหลังร่างยักษ์ทีมชาติฮอลแลนด์ที่ดันทะลึ่งนำเรื่องราวของเฟอร์กี้ไปแฉ ในหนังสือพ็อกเกตบุ๊กของตัวเองจนสุดท้าย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เดินเข้าไปหาแล้วบอกเพียงสั้นๆ ว่า ''เอ็งต้องไปแล้วนะ'' จากนั้นก็ถูกอัปเปหิไปอยู่กับลาซิโอแบบไม่มีวันกลับ





        6. คุณไม่มีทางชนะอะไรด้วยเด็กพวกนี้หรอก
ข้างต้นคือวลีเด็ด ของ อลัน แฮนเซ่น ตำนานนักเตะของลิเวอร์พูล ที่พูดจาดูถูกแมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคทศวรรษ 90 ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จนทำตัวเองต้องอับอายจนถึงทุกวันนี้
แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดนั้นประกอบไปด้วยดาวรุ่งพุ่งแรงที่พุ่งพรวดขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ในเวลา ไล่เลี่ยกัน ซึ่งประกอบด้วย ไรอัน กิ๊กส์, นิคกี้ บัตต์, เดวิด เบ็คแฮม แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์ รวมถึง พอล สโคลส์ ซึ่งทั้งหมดต่างพิสูจน์ให้เห็นและลบคำสบประมาทของอดีตกองหลังลิเวอร์พูลได้ อย่างสิ้นเชิง





        7. ความภักดี
แม้บุคลิก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะมีท่าทีแข็งกร้าวไม่ชอบให้ใครขัดใจ แต่ยามที่ผู้เล่นต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตป๋าก็พร้อมจะเข้ามาทำหน้าที่เปรียบ เสมือน ''พ่อ'' คอยปกป้องลูกทีมเสมอ จนนักเตะหลายคนซาบซึ้งและผูกพันธ์กับเฟอร์กี้รวมถึงกับสโมสรอีกด้วยตัวอย่าง ที่ยังเห็นได้ชัดเจนก็คือ แกรี่ เนวิลล์, ไรอัน กิ๊กส์ และ พอล สโคลส์ ซึ่งทั้งสามรายลงเล่นให้กับ ''ปีศาจแดง'' สโมสรแรกและสโมสรเดียวมาทั้งชีวิต



        8. สเต็ปลีลาเต้นฉลองชัย
ถึงแม้อายุอานามจะปาเข้าไป 71 แล้ว เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ยังคงเตะปี๊บดังอยู่ และเมื่อใดก็ตามที่ลูกทีมยิงประตูได้เมื่อนั้นป๋าก็จะกระโดดโลดเต้นดีใจราว กับวัยรุ่นอายุ 20 ปี แต่ระยะหลังด้วยสังขารที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน เฟอร์กี้เลือกที่จะชูมือฉลองชัยและหันไปกอดกับเหล่าสตาฟฟ์โค้ชแทน



        9. ปั้นดินให้เป็นดาว
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถือเป็นผู้จัดการทีมคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่ามีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งนักในการ ซื้อตัวนักเตะมาเสริมทัพ หลายครั้งหลายคราที่เราเห็นว่าเฟอร์กี้ซื้อนักเตะที่ไม่มีชื่อเท่าไรนัก แต่กลับทำผลงานโด่งดังจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ เช่น เอริก คันโตน่า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, รอย คีน หรือแม้แต่นักเตะในอะคาเดมี่อย่าง ไรอัน กิ๊กส์ และ พอล สโคลลส์ ซึ่งช่วยให้ทีม ''ปีศาจแดง'' คว้าแชมป์ต่างๆ มากมายจนถึงปัจจุบัน



        10. รางวัลความสำเร็จของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
หลักฐานความสำเร็จ ประดับเต็มตู้โชว์ของสโมสรคงไม่ต้องบรรยายอะไรแล้วสำหรับแชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 5 สมัย และแชมป์ลีก คัพ 4 สมัย ว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นำพาทีมมาสู่ความสำเร็จให้กับสโมสรมากเพียงใด ดังนั้น ไม่ว่าใครจะชอบหรือจะเกลียดเฟอร์กี้ต่างก็ต้องน้อมคารวะกับผลงานอันน่าทึ่ง ชนิดที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ในในฝีมือของชายคนนี้ที่ชื่อ ''เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน'' บุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลในวงการฟุตบอล

       
ขอขอบคุณ โศณภัทร พรมทอง
จาก http://www.siamsport.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น